เคล็ดลับการเลือกกันสาดพับได้ให้เหมาะกับบ้านยุคใหม่

กันสาด คือ ตัวช่วยป้องกันแสงแดด ความร้อน และฝน ถือเป็นส่วนประกอบของบ้านที่เหมาะสมกับสภาพอากาศของประเทศไทย แต่สำหรับบ้านยุคใหม่ที่มีดีไซน์เป็นโมเดิร์นมากขึ้น การเลือกใช้บริการรับติดตั้งกันสาด จึงต้องเลือกวัสดุและการออกแบบที่เหมาะสมกับดีไซน์ของบ้านมากให้กว่าเดิม เพราะฉะนั้นลองมาดู เคล็ดลับการเลือก กันสาดพับได้ ให้เหมาะกับบ้านยุคใหม่กันดีกว่าค่ะ

1. เลือกหลังคากันสาดจากน้ำหนักที่สามารถรองรับได้
หลักการเลือกกันสาดข้อแรก คือ การเลือกน้ำหนักกันสาด เพราะหากไม่พิจารณาในจุดนี้ให้ดี อาจส่งผลกระทบต่อโครงสร้างของบ้านเราในอนาคตได้ เพราะฉะนั้นอย่าลืมสอบถามผู้เชี่ยวชาญด้านบริการติดตั้งกันสาดว่า วัสดุสำหรับโครงและแผ่นกันสาดแต่ละชนิดรองรับน้ำหนักได้มากน้อยอย่างไรด้วยนะคะ

2. เลือกลักษณะการติดตั้งกันสาด
การเลือกลักษณะการติดตั้งกันสาดพับได้ขึ้นอยู่กับทิศทางที่แสงแดดส่องเข้าบ้าน โดยไม่หลักการเลือก ดังนี้
– กันสาดแนวดิ่ง ช่วยบังแสงอาทิตย์เวลาเช้าและเย็นได้ดี แต่ไม่สามารถบังแดดได้ทั้งวัน เหมาะสำหรับแสงที่ส่องเข้ามาทางทิศตะวันออกและตะวันตก
– กันสาดแนวราบ มีทั้งแบบมีเสาและไม่มีเสา เหมาะสำหรับแสงแดดที่เข้ามาทางด้านทิศเหนือและทิศใต้ ควรคำนวณองศาให้ดีเพื่อให้สามารถป้องกันแสงตกกระทบได้ตลอดวัน
– กันสาดผสม เป็นกันสาดที่ผสมข้อดีของกันสาดแนวดิ่งและกันสาดแนวราบเอาไว้ด้วยกัน

3. คัดโครงหลังคาแบบที่ใช่
วัสดุโครงกันสาด เป็นตัวช่วยรับน้ำหนักชั้นดีและยังช่วยป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นกับโครงสร้างของตัวบ้านได้ด้วย ดังนั้นอย่าลืมเลือกโครงให้เหมาะกับบ้านของเราด้วยนะคะ ไม่ว่าจะเป็น
– เหล็ก เป็นโครงกันสาดที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในปัจจุบัน ติดตั้งง่าย แข็งแรง และมีราคาไม่แพง แต่ต้องชุบเคลือบกันสนิมให้ดี
– ไม้เนื้อแข็ง ใช้สำหรับขึ้นโครงและทำไม้ระแนง มีความสวยงาม เรียบหรู เหมาะกับบ้านสไตล์ทรอปิคอลหรือคันทรี แต่มีราคาค่อนข้างแพง
– ไม้เทียม เป็นโครงกันสาดที่เรียกว่า “พลาสวูด” เน้นโชว์ความสวยของเนื้อไม้เลียนแบบไม้จริงแต่แข็งแรงและมีราคาถูกกว่า

4. เลือกวัสดุกันสาดพับได้ที่เหมาะกับดีไซน์ของบ้าน
วัสดุหลังคากันสาดมีลักษณะและข้อดีข้อเสียแตกต่างกันออกไป ซึ่ง ควรเลือกวัสดุให้เหมาะสมกับดีไซน์ของบ้านด้วย เช่น
– หลังคาโพลีคาร์บอเนต มีสีสันสวยงาม สามารถดัดโค้งได้ทำให้ติดตั้งได้กับบ้านทุกแบบ ทุกบริเวณ ราคาไม่แพง แต่หากใช้กลางแจ้งเป็นเวลานานอาจเจอปัญหากรอบ แตก ต้องซ่อมแซมและเปลี่ยนใหม่เป็นระยะ
– หลังคาไฟเบอร์กลาส (GRP) วัสดุหลังคากันสาดโปร่งแสง มีลักษณะคล้ายโพลีคาร์บอเนต แต่ไฟเบอร์กลาสจะทนทานกว่าเนื่องจากคุณสมบัติในการขยายตัวน้อยกว่าประมาณ 50% ทำให้มีโอกาสเกิดความเสียหายหรือชำรุดน้อยกว่า แต่ราคาก็จะแพงขึ้นตามไปด้วย
– หลังคาเมทัลชีท มีความทนทานสูง รั่วซึมยาก เพราะผลิตจากเหล็กรีดเรียบแบบแผ่นทึบ น้ำหนักเบา และแข็งแรงทนทาน แต่ก็ทำให้พื้นที่ด้านล่างสะสมความร้อนและมีเสียงดังเวลาฝนตก
– หลังคาไวนิล มีน้ำหนักเบา ทนทาน และมีคุณสมบัติคล้ายเมทัลชีท แต่สามารถกันความร้อนได้ดีกว่า เสียงไม่ดังเท่าหลังคาเมทัลชีท แต่ก็มีราคาแพงกว่าเช่นกัน

การเลือก กันสาดพับได้ ให้เหมาะกับบ้านยุคใหม่ต้องดูองค์ประกอบหลายอย่าง เพื่อให้กันสาดที่ได้เหมาะกับดีไซน์ของบ้าน มีความสวยงาม และมีประโยชน์ใช้สอยครบครัน คุ้มค่าที่สุด

การซื้อขายฐานข้อมูลลูกค้าสำคัญอย่างไรในการทำธุรกิจในยุคดิจิตอล

ปัจจุบันการซื้อขายฐานข้อมูลลูกค้า (Customer Data) กำลังเป็นที่ต้องการของร้านค้าในยุคดิจิตอลเป็นอย่างมาก โดยกลายเป็นสิ่งสามารถเพิ่มยอดขายและทำกำไรให้กับธุรกิจได้เป็นอย่างมาก ถ้าหากว่าธุรกิจไหนมีข้อมูลลูกค้ามาก ก็มีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จได้มากกว่าคนอื่น พร้อมกันนั้นยังทำให้ได้เปรียบเรื่องการตลาด ส่งผลให้การทำธุรกิจร้านค้าดิจิตอลมีความพร้อมในการบริการลูกค้าและยังทำให้ร้านค้าเติบโตขึ้นแบบก้าวกระโดดได้

ฐานข้อมูลลูกค้า (Customer Database) คือ ชุดของข้อมูลลูกค้า ที่มีความเชื่อมโยงและมีความสัมพันธ์กับทั้งลูกค้าและร้านค้า ซึ่งข้อมูลทั้งหมดถูกจัดให้อยู่ในฐานข้อมูลเดียวกันอย่างเป็นระบบ เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ขององค์กรหรือร้านค้า สำหรับการซื้อขายฐานข้อมูลหลักๆของลูกค้าจะประกอบไป ชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ สินค้าที่ลูกค้าซื้อ ช่องทางการซื้อสินค้า รวมไปถึงโปรโมชั่นต่างๆ

สำหรับวัตถุประสงค์ของการเก็บข้อมูลลูกค้า ก็เพื่อที่จะให้ร้านค้าหรือองค์กรสามารถเข้าถึงข้อมูลของลูกค้าได้ง่ายและสะดวก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้กับองค์กรและร้านค้า ลดความยุ่งยากในการทำงาน อีกทั้งยังเก็บข้อมูลลูกค้าเพื่อต่อยอดการขาย ต่อยอดธุรกิจให้ประสบความสำเร็จในอนาคตได้ดียิ่งขึ้น แต่ในการจัดเก็บข้อมูลของลูกค้านั้น ธุรกิจจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับเรื่องของความโปร่งใส มีการบอกวัตถุประสงค์ของการนำข้อมูลไปใช้อย่างชัดเจน และต้องอยู่บนพื้นฐานของการยินยอมให้ข้อมูลของลูกค้าเอง ตาม พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลหรือ PDPA ที่เพิ่งประกาศใช้เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน ปี 2564 ที่ผ่านมาด้วย

ประโยชน์ที่ธุรกิจจะได้เมื่อเก็บหรือซื้อขายฐานข้อมูลลูกค้า

1.ทำให้ได้รู้พฤติกรรมของลูกค้า การเก็บข้อมูลลูกค้าไว้ในฐานข้อมูล จะทำให้ธุรกิจเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้า และสามารถหา Customer Insight ได้ ว่าลูกค้ามาซื้อเป็นครั้งแรกหรือมาซื้อซ้ำ สินค้าที่ซื้อไปเป็นสินค้าประเภทไหน ได้รู้ว่าสินค้าใดบ้างที่ลูกค้าชอบซื้อเป็นประจำ ซึ่งการรู้พฤติกรรมของลูกค้าทั้งหมดนี้ก็จะช่วยให้ธุรกิจร้านค้าสามารถจัดจำหน่ายสินค้าตามที่ลูกค้าต้องการได้อย่างถูกต้อง

2.สามารถระบุและคัดเลือกลูกค้ามุ่งหวังได้ ธุรกิจร้านค้าจะสามารถรู้ได้เลยว่าลูกค้ามุ่งหวังเป็นประเภทไหน โดยสามารถทราบได้จากขายฐานข้อมูลของลูกค้า ซึ่งการสามารถระบุและคัดเลือกลูกค้ามุ่งหวัง ก็จะช่วยให้หาลูกค้ามุ่งหวังได้ชัดเจน ช่วยกำหนดกลยุทธ์ที่จะเปลี่ยนลูกค้ามุ่งหวังให้กลายเป็นลูกค้าของทางร้านค้าได้ง่ายยิ่งขึ้น

3.จัดเก็บข้อมูลลูกค้าได้เป็นระบบ สำหรับร้านค้าที่มีช่องทางการสั่งซื้อสินค้าหลายช่องทาง มักจะเกิดความซับซ้อนในเรื่องของข้อมูลลูกค้า แต่ถ้ามีการเก็บข้อมูลสินค้าจากหลายๆช่องทางไว้ในการขายฐานข้อมูลลูกค้าเพียงที่เดียว ก็จะทำให้หาข้อมูลของลูกค้าเจอ ซึ่งเมื่อหาข้อมูลลูกค้าได้ง่าย ก็จะทำให้สามารถจัดส่งสินค้าหรือดำเนินการในเรื่องต่างๆได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น

4.ช่วยเพิ่มโอกาสใหม่ๆ ทางการตลาด นับว่าเป็นอีกหนึ่งประโยชน์ที่ธุรกิจจะได้รับจากการเก็บข้อมูลลูกค้าโดยตรง แล้วแต่จะทำให้สามารถลดการสูญเสียและเพิ่มผลผลิต ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มปริมาณการขาย ช่วยเพิ่มโอกาสใหม่ๆ ทางการตลาด อีกทั้งยังช่วยพัฒนากลยุทธ์การตลาด และการสร้างคอนเทนต์ขายของที่จะดึงดูดกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ได้ด้วย

5.ช่วยให้ธุรกิจอื่นๆ ติดต่อกับกลุ่มลูกค้าได้ ธุรกิจร้านค้าที่ทำหลายอย่างสามารถติดต่อกับลูกค้าที่มีอยู่ของการขายฐานข้อมูล ที่คิดว่ากลุ่มลูกค้าจะเป็นกลุ่มที่สนใจซื้อสินค้าได้ ซึ่งก็จะทำให้สามารถกระตุ้นกลุ่มลูกค้าให้เข้ามาซื้อสินค้า อีกทั้งยังช่วยให้การพัฒนาการส่งเสริมการตลาดเป็นไปอย่างเหมาะสม ตอบโจทย์ความต้องการของทั้งธุรกิจและลูกค้า https://www.rmg.co.th/

Navigation